พลตรี กัลย์สรรค์ จันทรเสน ผู้แทนพระองค์ ได้อัญเชิญพระราชกระแสทรงชมเชย ผู้ร่วมปฏิบัติการดับไฟป่าพรุควนเคร็ง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร
มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ร่วมปฏิบัติงาน ในการนี้ นายจเรศักดิ์ นันตะวงษ์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นผู้แทนอธิบดี ทช. พร้อมมีผู้แทนจากหน่วยงานทุกภาคส่วน จำนวน 11หน่วยงาน ประกอบด้วย กองทัพภาคที่ 4,กองทัพอากาศ,กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ,กระทรวงสาธารณสุข ,กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ,กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ,กรมป่าไม้ ,จังหวัดนครศรีธรรมราช ,จังหวัดพัทลุง ,จังหวัดสงขลา และนายวิบูลย์ ทัศเจริญ จากชุดท่อพญานาคซิ่ง ทีมสูบน้ำช่วย 13หมูป่าที่ขุนเขานางนอน จ.เรียงราย เข้ารับพระราชทานพระราชกระแสทรงชมเชยในครั้งนี้ ณ ศาลาประชาคมโรงละคร องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ในโอกาสนี้มีตัวแทนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและสมาชิก
จิตอาสาที่มาเข้าร่วมสนับสนุนการปฏิบัติการดับไฟป่าพรุควนเคร็งจากพื้นที่อำเภอต่างๆ ในพื้นที่ ได้เดินทางมาร่วมในพิธีอย่างพร้อมเพรียง โดยทุกคนต่างปราบปลื้มและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
ด้าน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่าสถานการณ์ไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็ง เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562 ในจุดเล็กๆ ที่สามารถควบคุมได้ แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2562 จากปัจจัยด้านสภาวะอากาศที่แห้งแล้ง ลมแรง ฝนทิ้งช่วง ทำให้น้ำใต้ดินลดระดับลง จึงเกิดไฟลุกไหม้ใน 2 ตำบลของอำเภอเชียรใหญ่ คือ ตำบลการะเกด และตำบลเขาพระบาท จากนั้นเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้เกิดเชื้อเพลิงกระจายกระโดดตามแรงลมลุกไหม้ติดไฟเพิ่มอีก 5 จุด คือ พื้นที่หมู่ที่ 8 และหมู่ที่ 12 ตำบลการะเกด หมู่ที่ 1 ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ หมู่ที่ 6 และหมู่ที่ 11 ตำบลเคร็ง อำเภอชะอวด ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินที่อยู่อาศัยของพี่น้องประชาชน ใน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอชะอวด ,เชียรใหญ่ ,เฉลิมพระเกียรติ ,หัวไทร และร่อนพิบูลย์ ราษฎรได้รับผลกระทบจากควันไฟ 23,723 คน พื้นที่ป่าพรุควนเคร็ง ได้รับความเสียหาย 14,493 ไร่ จากพื้นที่ป่าพรุประมาณ 309,000 ไร่ เกษตรกรได้รับความเสียหาย 420 ราย ประชาชน 80 ราย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนจิตอาสาจากทุกภาคส่วนได้เร่งปฏิบัติงานเพื่อดับไฟดังกล่าว และสามารถยุติสถานการณ์ได้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2562
นายจตุพร อธิบดี ทช. กล่าวต่อว่านายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติของป่าพรุควนเคร็งเป็นอย่างมาก จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมป่าไม้ (ปม.) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) ร่วมกันป้องกันไม่ให้มีการบุกรุกป่าพรุควนเคร็งอีกโดยเด็ดขาด พร้อมจะไม่ยอมให้ป่าพรุที่สมบูรณ์ถูกบุกรุกกลายเป็นป่าเสื่อมโทรม โดยเมื่อวันที่ 9 ก.ย.62 ที่ผ่านมา ได้เดินทางลงพื้นที่บินสำรวจสถานการณ์ไฟป่าพรุ อีกทั้งตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ รวมถึงเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานดับไฟป่า และมอบสิ่งของจำเป็นให้แก่เจ้าหน้าที่เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน ตลอดจนรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ไฟป่า แผนหยุดยั้งการทำลายและฟื้นฟูป่าพรุควนเคร็ง และรับฟังสรุปแนวทางการฟื้นฟูป่าพรุ ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งนี้ รมว.ทส. ได้ให้เตรียมกล้าไม้เพื่อการฟื้นฟูป่าพรุให้มากที่สุด โดยมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำ และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจแล้วจัดทำแหล่งน้ำกระจายทั่วพื้นที่ป่าพรุ ให้กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ ประสาน สปก.และหน่วยงานรับผิดชอบเกี่ยวกับที่ดินทุกประเภทร่วมกันกำหนดแนวขอบเขตพื้นที่ให้ชัดเจนเป็นชุดข้อมูลเดียวกัน เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารจัดการพื้นที่ พร้อมให้ออกแบบการบริหารจัดการน้ำเมื่อฝนตกมาต้องกักเก็บน้ำไว้ในป่าพรุให้มากที่สุด
นายจตุพร กล่าวต่อว่าจากการสำรวจความเสียหายกับพื้นที่ป่าพรุควนเคร็งที่เกิดเหตุไฟไหม้ในครั้งนี้ พบว่าพื้นที่ป่าเสียหายกว่า 6,000ไร่ นอกจากนี้ ยังทำให้พื้นที่ทางการเกษตรเสียหายจำนวนมาก โดยเฉพาะสวนปาล์มน้ำมันและยางพาราไม่นับรวมความเสียหายกับระบบนิเวศรอบป่าพรุที่ถูกทำลาย อย่างนกเหยี่ยวแดงและฝูงนกปากห่างที่เคยมีรังในป่าพรุบริเวณนี้ ต้องบินวนเวียนกระจัดกระจายเพราะรังในป่าถูกไฟไหม้และกลิ่นควันจากไฟป่าที่ยังลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ไม่นับรวมสัตว์เลื้อยคลานและสิ่งมีชีวิตในน้ำรอบป่าพรุที่สูญเสียไปเพราะไฟไหม้ป่า พร้อมกันนี้ รัฐมนตรี ทส. ได้เน้นย้ำไว้ว่า ตราบใดที่ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวง ทส. จะดำเนินการทุกอย่างภายใต้อำนาจหน้าที่ สนับสนุนการจัดหาอุปกรณ์ เครื่องมือ กำลัง ปัจจัย ในการปฏิบัติงาน เพื่อดูแล และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกคน เนื่องจากทราบดีว่ากำลังของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานมีน้อย แต่พื้นที่ป่าที่ต้องดูแลทั้งประเทศมีจำนวนหลายล้านไร่ การจัดหาอุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ และขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ รวมทั้งได้ยืนยันว่าจะทำหน้าที่ดูแลเจ้าหน้าที่ทุกท่านให้ดีที่สุด เพราะผลงานของกระทรวงฯ ไม่ได้อยู่ที่รัฐมนตรีฯ ปลัดกระทรวงฯ หรืออธิบดี แต่ความสำคัญและหัวใจสำคัญของกระทรวงฯ อยู่ที่เจ้าหน้าผู้ปฏิบัติงานทุกท่าน เพราะทุกท่าน คือผลงานและความสำเร็จของกระทรวงฯ
ในโอกาส ในนามกระทรวง ทส. ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ในสังกัด และหน่วยงานต่างๆ ทุกท่านที่ได้เสียสละ ความสุขส่วนตัวในการปฏิบัติหน้าที่ดับไฟป่าในครั้งนี้ เพื่อดูแลผืนป่าของประเทศไทยไม่ให้เสื่อมโทรม และอยู่คู่กับผืนแผ่นดินไทยสืบไป “นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย”